ทำไมคุณครูจำเป็นต้องอดทนกับทรงผมของเด็ก
ดูเหมือนจะมีวิวาทะกันพอสมควรเรื่องคุณครูโกนหรือตัดผมเด็ก
ข้อแรก ทรงผมเกี่ยวข้องกับการเรียนแน่นอน
การที่คนคนหนึ่งเรียนว่า จะดูแลตัวเองอย่างไร ตั้งแต่การไว้ผมอย่างไร แต่งตัวอย่างไร เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ให้กลายเป็นผู้ใหญ่ สิทธิในการควบคุมร่างกายตัวเองย่อมสร้างความมั่นใจให้กับเด็กนักเรียน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จทางการศึกษา
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำอะไรกับร่างกายเขาก็ได้ แต่เขาต้องหัดเรียนรู้ว่า คนอื่นมีปฏิกิริยาอย่างไร

ข้อสอง แต่ปฏิกิริยาของคนอื่นต้องไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน คุณครูต้องเรียนรู้ว่า โลกเปลี่ยนไปแล้ว แนวคิดเหล่านี้ชัดเจนเป็นที่ยอมรับกันกว้างขวาง จนกระทั่งตราไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และ ทั่วโลกก็มีกฎหมายรับรองจริงจังขึ้นตามลำดับ
ตัวอย่าง เมื่อ ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ ผมสังเกตว่า อาจารย์แพทย์บางท่านจับศีรษะผู้ป่วยหรือทำอะไรกับผู้ป่วยโดยไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องอธิบาย ในตอนนั้นผมก็รู้สึกว่าแปลกแล้ว แต่ไม่มาก ปัจจุบันทำอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว ถึงเป็นหมอ พยาบาลจะรักษาคน ก็คงต้องขออนุญาตผู้ป่วยก่อนแตะเนื้อต้องตัวตามสมควร
ตัวอย่าง หลายปีก่อน ผมนั่งรถไฟฟ้าในเมืองโตเกียว มีเด็กประถมต้นสองคนมานั่งด้านตรงข้ามแล้วก็หยิบหนังสือมาอ่านอย่างขมักเขม้น เหมือนผู้ใหญ่ ผมเห็นว่า น่ารักดี หยิบกล้องขึ้นมาว่าจะถ่ายรูป แล้วก็นึกได้ว่า นี่ไม่ใช่ประเทศไทย ถ่ายไปจะโดนกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคลไหม จบลงด้วยการไม่ถ่ายดีกว่า ไม่อยากมีเรื่อง
ถ้าเผอิญคุณครูอาจรับทราบเรื่องสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ช้ากว่าคนอื่นๆ ก็ถึงเวลาต้องรับทราบแล้วครับ
ข้อที่สาม แต่เราก็ปล่อยปละเรื่องนี้ในวงการศึกษามานานแล้ว คุณครูท่านที่ทำก็ไม่ได้ทำอะไรแตกต่างจากคุณครูคนอื่นอีกหลายคน ความพยายามจะเล่นงานครูเป็นรายคนจึงอาจไม่น่าจะเป็นประโยชน์นัก น่าจะพยายามใช้โอกาสนีัเปลี่ยนทัศนคติของครูที่อาจยังไม่เข้าใจดีมากกว่า
ถ้าใครน่าจะเป็นคนต้องรับผิดชอบจริงๆ ก็คือ ผู้ที่ทราบเรื่องแล้วไม่ทำอะไร ได้แก่ ผู้ดูแลนโยบายตั้งแต่รัฐบาล ผู้บริหารกระทรวงศึกษาฯ หรือแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
ผู้ใหญ่เหล่านี้บางคนก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลย
Cr. ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์
