เด็กที่มีปัญหาการเรียน #คุณช่วยได้ถ้าเข้าใจ
“คุณครูจ๋า พ่อแม่จ๋า หนูไม่ได้โง่ ไม่ใช่เด็กไม่รับผิดชอบ หนูไม่ได้จงใจดื้อที่ทำการบ้านไม่ได้ หนูพยายามแล้ว หนูอยากเก่งขึ้น อย่าดุด่าหนู ช่วยเข้าใจหนูที”

…ปัญหาการเรียนเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากในปัจจุบัน โดยอาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ ที่พบได้บ่อยคือ ภาวะเรียนรู้ช้าในบางวิชาโดยที่IQปกติ(LD: Specific Learning Disorder ชื่อเดิมLearning Disorder) อาจพบได้ถึงประมาณ4-10% ,หรือจากเหตุอื่นๆ โดยที่เด็กๆเหล่านี้มักมีIQ คือระดับสติปัญญา และความฉลาดเป็นปกติ (เด็กที่มีปัญหาการเรียน มีจำนวนไม่มากนักที่มีปัญหาIQต่ำ)
…มีเด็กจำนวนมากที่ถูกดุ ว่า “ไม่ฉลาด ไม่ตั้งใจเรียน ไม่รับผิดชอบ ไม่เชื่อฟัง” แต่ในมุมของเด็ก คุณรู้หรือไม่ว่า “เขาพยายามเต็มที่เท่าที่เขาทำได้แล้ว” เขาก็อยากเก่งกว่านี้ และเขาจะดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ถ้าคุณเริ่มจากการที่มีความรู้และความเข้าใจ
…บ่อยครั้งที่พบเด็กที่IQ ปกติ หรือฉลาด แต่มีภาวะเรียนรู้ช้าในบางวิชา เช่น อ่าน/เขียน/คำนวณ จะสังเกตได้ว่าเด็กเหล่านี้มักอ่านผิด ช้า ตะกุกตะกัก อ่านไปสะกดไป จับใจความไม่ได้ , การเขียนก็มักสะกดไม่ถูก สลับ ไม้เอกไม้โท เขียนกลับหัว เช่นb-d ด-ค, เรื่องเลขเด็กอาจไม่เข้าใจตัวเลข และสัญลักษณ์ทางคณิต บวกลบง่ายๆไม่ได้ : โดยที่วิชาอื่นเขาทำได้ดี และมักฉลาดในเรื่องอื่น เช่นความรู้รอบตัว/การเล่นกับเพื่อน ฯ…เด็กเหล่านี้อาจมีภาวะเรียนรู้ช้าบางวิชา(Learning Disorder:LD) …*แต่มักถูกเข้าใจผิดว่าไม่ฉลาด จงใจไม่ทำงานในวิชาที่เป็นปัญหา(จริงๆเด็กพยายามแล้ว แต่เขาทำไม่ได้) * …”ซึ่งภาวะนี้เกิดจากพัฒนาการของสมองบางส่วนในการเรียนรู้วิชานั้นๆ มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน / และที่สำคัญภาวะดังกล่าวสามารถช่วยเหลือให้ดีขึ้นได้” …แต่ไม่ใช่เพราะเด็กไม่ฉลาด ไม่ใช่จงใจไม่ทำงาน หรือจงใจไม่ร่วมมือ

เด็กเหล่านี้มักจะถูกดุหรือตี จากการที่ครู หรือผู้ปกครองเป็นห่วงและอยากให้เด็กทำได้ดีขึ้น แต่หลายครั้งการดุ หรือตี จะทำให้เด็กเครียด เสียความมั่นใจ รู้สึกคุณค่าในตนเองลดลง และรู้สึกเป็นปมด้อย ท้อกับการเรียน รู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องไม่สนุก จนอาจเกิดพฤติกรรมดื้อต่อต้านหรืออาจเกิดโรคซึมเศร้าขึ้นได้
แต่ปัญหาเหล่านี้คุณสามารถช่วยเหลือเด็กได้ โดยเริ่มจากความรู้และความเข้าใจ และ”ถ้าคุณทำให้บรรยากาศการเรียนการสอน ให้เป็นอะไรที่อบอุ่น สนุก คุณจะช่วยเด็กเหล่านี้ให้เรียนดีขึ้นได้มาก”
คนเราจะทำอะไรสำเร็จต้องเริ่มจากฉันทะ: ความชอบ ความสุข/สนุกในสิ่งที่ทำ …ดังนั้นการเรียนรู้ควรมาคู่กับความสุข ความสนุก และอยากเรียน
…ในมุมของผู้ปกครอง และครู หมอพอเข้าใจที่อาจดุ ตี ด้วยความเป็นห่วงและไม่รู้จะช่วยเหลือยังไง
“แต่ในมุมของเด็ก หมอเห็นใจมากที่เด็กมักรู้สึกแย่ โทษตัวเองว่าเป็นเด็กไม่ดี รู้สึกตัวเองมีปมด้อย บางรายถึงกับไม่อยากเรียนหรือเป็นโรคดื้อต่อต้าน หรือโรคซึมเศร้าได้”
จิตแพทย์เด็กมักจะเจอเด็กที่LDบ่อยๆ ..ที่เคยสอบได้ที่โหล่ของห้อง แต่เมื่อได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง เด็กจะมีความสุขและเรียนได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
การช่วยเด็กที่มีปัญหาดังกล่าว ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจจากทั้งผู้ปกครอง คุณครู แพทย์ ครูการศึกษาพิเศษ และทุกคนที่เกี่ยวข้อง
การเริ่มต้นจากความเข้าใจ แล้วพยายามอุดจุดอ่อนที่เด็กเป็น ทำบรรยากาศการเรียนให้เอื้อกับเด็ก ให้เด็กมีตัวช่วย ให้รู้สึกสนุกไม่เครียด ไม่กดดันจนเกินไป เช่นเด็กที่มีปัญหาการอ่านหรือการเขียน เวลาทำข้อสอบ อาจจะให้คุณครูอ่านโจทย์ให้ฟัง แล้วให้เด็กเลือกคำตอบ หรืออธิบายให้ฟัง, ในเด็กที่มีปัญหาการเขียนสะกดคำอาจจะใช้อุปกรณ์เสริม เช่นให้เด็กใช้แท็บเล็ตพิมพ์แทนเขียนคำตอบ ในเด็กที่มีปัญหาคณิตศาสตร์และการคำนวณ อาจจะต้องให้เวลาแล้วสอนเทคนิคการคำนวณง่ายๆให้เด็ก หรือถ้ามีปัญหามากกว่านั้น อาจจะต้องพึ่งครูการศึกษาพิเศษซึ่งเรียนมาเพื่อช่วยเด็กกลุ่มนี้โดยเฉพาะ
หมอเคยพบเด็กที่มีปัญหาการเรียนช้าบางวิชาหรือLD บางคนที่ได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกต้อง อย่างเด็กเคยอ่อนด้านการเขียนสะกดคำ แต่พ่อแม่และครูเข้าใจ และช่วยเหลือด้วยการให้ใช้เครื่องมือทดแทนเช่นคอมพิวเตอร์ ให้เด็กใช้การพิมพ์แทนการเขียนส่งงานและสอบ ให้สามารถเรียนผ่านไปได้ เป็นการอุดจุดอ่อน แล้วค้นหาจุดแข็ง โดยส่งเสริมให้เด็กได้เรียนในสาขาวิชาที่เด็กชอบและถนัด หมอพบว่าเด็กบางคนสามารถเรียนได้เต็มศักยภาพจนจบปริญญาโท และประสบความสำเร็จในชีวิตในสายอาชีพที่เด็กถนัด เช่นเดียวกับเด็กทั่วๆไป ได้เลยทีเดียว
สุดท้ายไม่ว่าท่านจะเจอปัญหาอะไร หมอขอเป็นกำลังใจให้ครับ “ปัญหามี ทางออกก็มี”
หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านบ้าง
หมอเม้ง การ์ฟิลด์